วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Teaching English : How to Teach Basic Conversational English

เรื่อง ของTense กาล, เวลา



ไม่ว่าจะเป็นการพูดหรือการเขียนในภาษา อังกฤษ Tense หรือ เรื่อง เวลา "กาล" เป็นเรื่องสำำคัญทีเดียว ต้องให้ความสำคัญกับมันหน่อยนะครับ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน

ยก ตัวอย่างนะครับ เขาตีแมว

He runs. เขาวิ่ง (ไม่ได้ระบุเวลา แต่รู้ว่าเขาวิ่ง อาจวิ่งเป็นประจำ) เป็น present tense
He ran เขาวิ่ง (เขาวิ่งไปแล้ว คือ วิ่งไปไหนแล้วก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าวิ่งไปแล้ว ..งงมั๊ย) เป็น past tense
He is running (กขากำลังวิ่งอยู่เลย)
He will run. (เขาจะวิ่ง แต่ยังไม่ได้วิ่ง)
เอา แค่นี้พอ.... ถ้าเราพูดคำว่า He runs อย่างเดียว จะไม่สามารถบอกได้เลยว่า เขาทำมันตอนไหน สำคัญใช่ไหมครับ

Tense ในภาษาอังกฤษ มีมากกว่า 6 Tense หลักๆ ที่เราเรียนกันอยู่คือ present tense (ปัจจุบัน) past tense (อดีต) future tense (อนาคต) present continuous tense ( กำลังกระทำอยู่) present continuous tense, past continuous tense โอย..เยอะแยะตาแป๊ะเก็บเห็ด.....

ในการเรียนการส อน.. เราต้องจำให้หมด (แค่ 6 tense ก็ปวดเฮดแล้วครับ ไม่ถึงต้องจำเยอะกว่านั้นร๊อก) แต่ในการพูดจริงๆ หลักๆนะครับ จำแค่ 4 tense ก็พอคือ (แต่ถ้าเอาไว้สอบ ก็ต้องจำให้มันเยอะๆ)

1. Present Tense ปัจจุบันกาล
2. Past Tense อดีตกาล
3. Future Tense อนาคตกาล
4. Present Continuous Tense กาลที่กำลังกระทำอยู่

อันนี้ต้องทยอยพูดถึงที่ละอย่างนะครับ ขืนบอกหมดในทีเดียว คงได้หัวโตกันมั่ง......................

Present Simple Tense ใช้ยังไง
(อ้าว.. เพิ่ม simple มาได้ยังไง จริงๆแล้วมันเป็นสาขาย่อยของ Present Tense น่ะครับ ในที่นี้ให้เข้าใจเอาว่า เป็น Present Simple Tense ก็แล้วกันนะครับ)

Present Tense ใช้ง่ายครับ (อ้าว.. ตอบแบบกำปั้นทุบดินนี่หว่า) เป็นปัจจุบันกาลใช้กับ
1. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
2. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ
3. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นธรรมชาติ
4. เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น...ง่า... นึกไม่ออกครับ เอาไว้ถ้านึกได้แล้วจะมาบอก
5. เอาง่ายๆคือ มันไม่ใช่อดีต หรืออนาคต หรือกำลังกระทำอยู่ ก็ใช้ Present Simple Tense แล้วกัน

จำ ได้แล้วว่า ใช้ยังไงก็ค่อยมาจำรูปแบบของมันนะครับ
ประธาน + กริยาช่องที่ 1 ง่ายสุดเลยใช่ไหมเล่า
ที่นี้ มันก็ไปสัมพันธ์กับประธานนะครับ จำเป็นมากๆ คือ
ประธานเอกพจน์ (หน่วยเดียว) กริยาเติม S
ประธานพหูพจน์ (หลายหน่วย) กริยาไม่ต้องเติม S

แค่นั้นเอง (จริงๆแล้ว คิดว่าคงเรียนมาแล้วล่ะครับ แต่เน้นเพื่อความเข้าใจอีกที คือเรียนมาแต่ไม่ได้ใช้ไง พอเวลาพูดหรือเขียน จะมีสักกี่คนใส่ใจเติม S ที่กริยาเอกพจน์)

1. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และทำอย่างสม่ำเสมอ
เช่น He goes to school. แปลว่าเขาไปโรงเรียน (ทีนี้ เราจะใ่ส่คำว่า every day หรือ always เข้าไปในประโยคเพื่อเน้นก็แล้วแต่ แต่ให้รู้ว่าเขาไปโรงเรียนแล้วกัน)

2. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ
เช่น The sun rises at 6.00 am.
พระอาทิตย์ขึ้นทุกวัน The wind blows ลมพัด มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ และเราก็พูดลอยๆ เหตุการณ์เหล่านี้จึงใช้เป็น Present Simple Tense ได้ครับ

มันมีคำ ที่บ่งบอกว่า ประโยคนี้เป็นการกระทำโดยสม่ำเสมอ โดยเติมไปในประโยค ทำให้รู้ว่าประโยคนี้ต้องเป็น present simple แหง๋ๆ
คำนั้นทำหน้าที่เป็น Adverb of Frequency ครับ เช่น always (เสมอๆ) sometimes (บางครั้ง)
หรือ ทำหน้าที่เป็น Adverb of Time เช่น every day, every month, every year ซึ่งตรงนี้ผมยังไม่เน้นนะครับ เดี๋ยวจะงงหนักไปกันใหญ่ เอาง่ายๆแค่นี้ก่อน

Past Simple Tense

หายไปสองสัปดาห์ นะครับ ต้องขออภัยอย่างแรงด้วย คือต้องทำธุระวันเสาร์อาทิตย์ด้วย เลยไม่มีเวลามาเขียนให้อ่านกัน เริ่มเลยดีกว่านะครับ

Past แปลว่า ผ่านมาแล้ว จริงๆแล้ว past simple tense เนี่ย ใช้ไม่ยากหรอกครับว่าจะใช้ตอนไหน ก็ใช้กับสิ่งที่ทำมาแล้วไงครับ (ตอบเหมือนกำปั้นทุบดินเลย) จริงๆนะครับ คือส่วนใหญ่แล้ว มันไม่ยาก เวลาพูดหรือเวลาใช้ภาษาอังกฤษเนี่ย ให้เราคิดว่า สิ่งนั้นมันเกิดขึ้นหรือยัง ถ้าเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ให้ใช้ past simple tense ไปเลย (เพราะส่วนใหญ่เวลาพูดกันเนี่ย ไม่ค่อยใช้ past กันหรอกครับ ใช้ present กันหน้าตาเฉย ฝรั่งบางครั้งเลยงงว่า ตกลงมันเกิดขึ้นหรือยังฟะ)

I go to the temple (Present) ฉันไปวัด (อันนี้ไม่ได้เจาะจง)
I went to the temple. ฉันไปวัด (ไปมาแล้ว)

ว่าไงครับ เข้าใจง่ายกว่ากันเยอะ หรือจะให้เจาะจงขึ้นไปอีก ก็เติม adverb of time เข้าไปอีก (คำกริยาวิเศษณ์บอกเวลาไงครับ ขยายคำกริยาว่า ทำเมื่อไหร่)

I went to the temple last week. ฉันไปวัดเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
I know what you did last summer. (คุ้นๆ นะเนี่ย)

สรุป สรุป สรุป การใช้ past simple tense ในกรณีที่

1) บอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้ว
2) เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้ว, เล่านิทาน, นิยาย, เทพนิยายอะไรก็แล้วแต่ ใช้ รูปอดีตครับผม

รูปของ Past Simple Tense คือ ประธาน + กริยาช่องที่สอง

ง่ายใช่ไหม ( a piece of cake แปลว่า ง่ายมั่กๆ อันนี้คนไทยใช้หมู ฝรั่งใช้เค้ก)

แต่ใน ความง่าย ก็มีความยากแฝงอยู่ คือ กริยาช่องที่สองนี่แหละครับ จะทำไง พกกริยาสามช่องนี่แหละครับ เล่มเล็กๆ ไม่กี่บาทก็มี พกติดตัวไปเลยครับ ถ้าอยากเก่งอังกฤษ ก็ท่องวันละคำสองคำ ปีนึงก็จำได้หมด (อยู่ที่ความพยายามและความมีวินัยครับ) จากเรื่องยากก็เป็นเรื่องง่ายไป

กฎ ของการเปลี่ยนกริยาก็มีอยู่บ้าง แต่ไม่ตายตัว ก็ต้องศึกษากันไปครับ

Future Tense


อนาคต อันนี้ง่ายเข้าไปใหญ่ ไม่ต้องไปสนใจกริยาช่องไหนๆ ด้วย ใช้เมื่อเราจะทำอะไร (จะ จะ จะ จะ จะ)
ก็ใส่ไปเลย will + กริยาช่องที่ 1 (จริงๆแล้วไม่ใช่กริยาช่องที่ 1 นะครับ แต่เป็น infinitive คือกริยาที่ไม่ผันตามประธาน อันนี้จะกล่าวถึุงทีหลังดีกว่านะครับ)

ฉันจะไป I will go.
เขาจะมา He will come.

สมัย ก่อนที่ผมเรียนตอนประถม จะต้องมีการแยกว่า ประธานตัวไหนใช้ will ตัวไหนใช้ shall แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วครับ ใช้ will ให้หมด ส่วนใหญ่แล้ว shall จะใช้กับประโยคชักชวนหรือพูดให้ดูสุภาพมากกว่า

มีอยู่นิด นึง.. ถ้าเรากำลังจะทำแล้ว (คือกำลังจะทำน่ะ................จะพูดยังไงดี) คือเวลาใช้ will เนี่ย ระยะเวลามันไกลกว่าในปัจจุบันสักระยะหนึ่ง คือ จะทำพรุ่งนี้ ปีหน้า หรือเย็นนี้ ชาติหน้า อะไรยังเงี้ย..

ถ้าถ้าเรากำลังจะทำเดี๋ยวนี้แล้ว (คือ ไม่ใช่ จะ แต่ กำลังจะ) ให้ใช้ รูปนี้ครับ
ประธาน + V.to be + going to + infinitive
เช่น ฉันกำลังจะทำการบ้าน I am going to do my homework (อย่าไปแปลว่าฉันกำลังไปทำการบ้านเชียวนะครับ going to ตัวนี้ ไม่ใช่แปลว่ากำลังไป แต่แปลว่า กำลังจะ)

หรือบางทีก็ใส่ อย่างนี้เลยครับ I'm doing my homework ก็ใช้ได้เหมือนกัน

การ ใช้ a, an, the อย่างง่ายที่สุด

เนื้อหา อาจจะเคยเห็นมาเยอะ จากหนังสือเรียนและเว็บอื่นๆนะครับ แต่จะตัดเรื่องที่ยากต่อการจำออก และพยายามจะยกตัวอย่างที่ง่ายต่อความเข้าใจนะครับ เอาให้อ่านง่ายที่สุดแล้วกัน

a, an, the เขาเรียกกันว่า article นะครับ แต่ใช้ยังไงกันล่ะ

a กับ an แปลว่า หนึ่ง ถูกต้อง แล้วครับ (ใครๆ ก็รู้)

a อ่าน ว่า เอ หรือ อะ ก็ได้ (จริงๆแล้วไม่ใช่ออกเสียงอะ ตรงๆ แต่ออกเสียงว่า เออะ)

a, an ใช้นำหน้าคำนามที่เป็นเอกพจน์ (ไม่ใช่วงศ์นาค) คือ ของที่มีอันเดียว, สิ่งเดียว (ไม่ใช่หลายสิ่ง..ก็ใช่)

a กับ an ใช้ต่างกันตรงที่ว่า a ใช้นำหน้าคำนามที่นำหน้าด้วยพยัญชนะทั่วไป ตั้งแต่ b ถึง z ยกเว้น a,e,i,o,u

anใช้นำหน้าคำนามที่นำหน้าด้วยสระในภาษาอังกฤษ คือ e,a,i,o,u

เช่น a cat แมวตัวหนึ่ง (แหม เหมือนสอนเด็กอนุบาลเลย แต่พยายามอ่านหน่อยนะครับ อย่าคิดว่าสอนเด็กเลย ผู้ใหญ่บางคนก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าพวกนี้ใช้ยังไง เพราะมันมีข้อยกเว้นน่ะครับ)

a dog a pencil a plane

an umbrella an ox an orange

สังเกตดูนะครับว่า สระในภาษาอังกฤษจะออกเสียงเป็น อ.อ่าง อัมเบร้ลหล่ะ อ๊อกซ์ ออ-เร้นจ์

แต่ ถ้า university ล่ะครับ U เป็นสระเหมือนกัน แต่ไม่ยักกะออกเสียงอ.อ่าง กลับออกเสียงย.ยักษ์ คือ ยูนิเว้อซิถี่ หรือ unit ที่แปลว่าหน่วย, ห้อง ออกเสียงว่า ยู-หนิท

คำเหล่านี้ ถ้าไม่ได้ออกเสียง อ.อ่าง ต่อให้ขึ้นต้นด้วยสระ ก็ให้ใช้ a นะครับ

ว่ากันถึงเรื่อง The นะครับ (article อย่างหนึ่งเหมือนกัน)

The ใช้ยังไง ..... ใช้นำหน้าคำนามน่ะซีครับ...

ถูกต้อง........... พูดอีกก็ถูกอิฐ....................

แต่มันมีกฎอย่างนี้นะครับ (เอาง่ายๆ นะ ไม่ต้องมีข้อ 1,2,3 มันยาวไป)

The ใช้นำหน้าคำนามที่เราต้องการเน้นมากกว่า a, an น่ะครับ

ดูตัวอย่าง ประโยคต่อไปนี้

A cat is in the toilet. แมวอยู่ในส้วม
กับ
The cat is in the toilet. แมวอยู่ในส้วม

อ้าว.. เหมือนกันนี่หว่า..แล้วมันต่างกันตรงไหน

A cat หมายถึงแมวทั่วไปที่เราไม่ได้เจาะจงว่าเป็นตัวไหนไงครับ คือ มีแมวตัวหนึ่ง (ตัวไหนก็ไม่รู้ อยู่ในส้วม) แต่ถ้า The cat คือ อ๋อ.. ไอ้แมวตัวนั้น (ตัวที่เรารู้จัก อาจเป็น ไอ้หง่าว ไอ้หลุยส์ นังสมชาย มันอยู่ในส้วม) คือเป็นการเน้นเฉพาะไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งมากกว่านะครับ

ถ้าเราต้องแต่งประโยคยาวๆ สักสองประโยค (เท่านี้ก็ยาวแล้วสำหรับคนไทย) หรือหลายประโยค ยกตัวอย่าง
A dog is biting that boy. A dog is black.
ประโยคแรก หมาตัวหนึ่งกำลังกัดเด็กคนนั้น ประโยคที่สองคือ หมาสีดำ คือมาขยายประโยคข้างหน้าว่า หมาตัวนั้นสีดำ เพราะฉะนั้น ยกตัวอย่างประโยคนี้ ผิด

ถ้าเราไม่ได้ใช้คำสรรพนาม it แทน ในประโยคต่อไป เราไม่ต้องใช้ a แล้วนะครับ ให้ใช้ the ได้เลย คือ
A dog is biting that boy. The dog is black
เป็นการเน้นถึงหมาตัวแรกน่ะครับ ประโยคนี้ถูก

อีก ประการหนึ่ง
The ใช้กับสิ่งที่มีอันเดียวในโลก หรือ สิ่งที่ใหญ่ๆ ทางภูมิศาสตร์ ครับเช่น
The sky The sea The ocean The sun The moon
เราไม่ใช่ a sky a sea นะครับ

การ ทำคำกริยาให้เป็นคำขยายคำนาม (คำคุณศัพท์หรือadjective)

การทำคำกริยาให้ เป็นคำขยายคำนาม (คำคุณศัพท์ หรือ adjective)

ต้องอธิบายความ หมายและหน้าที่ของคำ adjective ก่อนนะครับว่า เป็นคำที่ทำหน้าที่ขยายคำนาม อาจบอกถึง ลักษณะ สี ขาวดำต่ำสูง จำนวน และอื่นๆที่เป็นคำบอกลักษณะของคน สัตว์ สิ่งของนั่นแหละครับ (ในที่นี้จะไม่บอกละเอียดนะครับ เพราะเดี๋ยวจะหมดสนุกและจะงง) เช่น แมว--ดำ (คำว่า ดำ เป็นคุณศัพท์ หรือ adjective) หมา 9 ตัว (คำว่า เก้าตัว เป็นคำคุณศัพท์เพราะขยายหมาว่ามีเก้าตัว) ภูเขาสูง (คำว่า สูง เป็น คุณศัพท์ เพราะขยายภูเขา) เขา-เสียใจ (คำว่าเสียใจ บอกอารมณ์ของคน เป็น คุณศัพท์)

ตำแหน่งของคำคุณศัพท์ ในประโยค
1. วางไว้หลังคำนาม โดยต้องมี V.to be มาไว้ระหว่างคำนามกับคุณศัพท์ He is sad. The cat is black.
2. วางไว้หน้าคำนาม เช่น The black cat The sad man. The white dog.

ในประโยคภาษา อังกฤษ อาจมีการทำคำกริยาให้เป็นคำคุณศัพท์ด้วย (ก็ไม่อธิบายละเอียดอีกนั่นแหละ คือพอให้รู้นะครับ) โดยการเติม en เข้าไปข้างหลังคำกริยาแล้วโยกเอามาไว้ข้างหน้าคำนาม (ตามหลักตำแหน่งของคำคุณศัพท์นั่นแหละ หรือ เติม ed หรือเปลี่ยนรูปนิดหน่อย (การเปลี่ยนรูปต้องไปศึกษาเอาเองครับ บางทีหลักการเติม ed ต้องไปศึกษาเรื่องกริยาสามช่องนะครับ คือการเปลี่ยนกริยาให้เป็นกริยาช่องที่สาม พูดอีกอย่างพวกเนี๊ยะ มันจะไปสัมพันธ์กับ passive voice เหมือนกัน) ยิ่งพูด..ยิ่งงง เราเอาแค่เติม en กับ ed ก็พอนะครับ เช่น

The bicycle was stolen (เป็น passive voice อีกแล้ว เห็นไหมครับ) จักรยานถูกขโมย
เราต้องการที่จะนำ V. มาให้เป็นคำขยายคำนามก็คือเอา stolen มาไว้ที่หน้าคำนาม คือ The stolen bicycle แปลว่า จักยานที่ถูกขโมย

หรือ
The car is broken. รถยนต์เสีย (รถยนต์เสียเองไม่ได้ มันต้องถูกทำให้เสีย จึงใช้ passive voice อีกแล้ว) ทำให้มาขยายคำนามเสียก็เป็น The broken car (ไม่ใช่ the broke car) แปลว่า รถที่ (ถูกทำให้) เสีย The line is twisted. เส้นถูกทำให้บิดๆ เบี้ยวๆ เป็น The twisted line เส้นที่ (ถูกทำให้) บิดๆ เบี้ยวๆ

ดังตัวอย่างนะครับ The westerner was beheaded (เป็น V.behead แปลว่าตัดหัว เป็น passive voice โดยการเติม V.to be เข้าไปแล้ว กริยาเปลี่ยนเป็นช่องที่สาม แปลว่าถูกตัดหัว) ทำให้มาขยายคำนามเสียโดยทำรูปประโยคเป็น The beheaded westerner แปลว่า ฝรั่งที่ถูกตัดหัว..ครับ)

วันพุธที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

passive voice

passive voice คือลักษณะของประโยคที่ประธานเป็นผู้ถูกกระทำ

ธรรมดาประโยคในภาษาอังกฤษที่เราจะพูดคือ ประธาน (ผู้กระทำ) + กริยา + กรรม (ผู้ถูกกระทำ)

แต่ ในประโยคในภาษาอังกฤษจะมีการแต่งประโยคโดยการนำผู้ถูกกระทำ มาขึ้นหน้าประโยค (เป็นประธานของประโยค ในกรณีที่เขาจะย้ำในประโยคว่ากรรม เป็นผู้ถูกกระทำ หรือสิ่งที่ถูกกระทำนั้น เป็นสิ่งของที่ไม่มีชีวิต คือ สิ่งที่ไม่มีชีวิตน่ะ ทำอะไรใครไม่ได้อยู่แล้ว)

โดยรูปของประโยคคือ ประธาน (ที่เป็นผู้ถูกกระทำ) + กริยา + ผู้กระทำ

โดยเน้นที่การเปลี่ยนรูปกริยา จะกล่าวเป็นภาษาไทยหน่อยนะครับ เช่น คน + ตี + สุนัข

เราจะเปลี่ยนเป็น passive voice โดยพูดว่า สุนัข + โดนตี + โดยคน

ในภาษาอังกฤษคือ Somsak rides a bicycle สมศักดิ์ขี่จักรยาน

เราก็เปลี่ยนเป็น passive voice ซะ โดยคุณสมบัติการสลับที่ครับ เป็น A bicycle rides Somsak

อย่าเพิ่งท้วงครับ ผมกำลังจะแสดงให้เห็นว่า ถ้าเราสลับที่ระหว่างผู้ถูกกระทำกับผู้กระทำเท่านั้น ยังไม่ได้
(ประโยคนี้ ถ้าแปลกลับแล้วจะแปลว่า จักรยาน ขี่ สมศักดิ์ ครับ ซึ่งแหม่งๆ พิกล)

จึงต้องมีการเปลี่ยนรูปของกริยาด้วย โดยการเปลี่ยนจากกริยาช่องที่ 1 เป็นกริยาช่องที่ 3 (อันนี้ต้องไปท่องเอานะครับว่ากริยาสามช่องน่ะมันเปลี่ยนรูปยังไง ส่วนใหญ่แล้วเติม ed ไปท้ายกริยานะครับ แต่ก็มีข้อยกเว้นหลายอย่าง ต้องไปซื้อหนังสือกริยาสามช่องมานั่งท่องเอาเอง เล่มไม่กี่บาทครับ อยากเก่งต้องลงทุน อิอิ) แล้ว ต้องเติม V.to be ไปข้างหน้ากริยาช่องที่สามด้วย รูปคือ V.to be + V. ช่องที่ 3

สรุปแล้ว ประโยคนี้ จะทำให้สมบูรณ์โดยเป็นดังนี้

A bicycle is ridden by Somsak. แปลว่า จักรยาน+ ถูกขี่ + โดยสมศักดิ์

คือ ผู้ถูกกระทำ + V.to be + V. ช่องที่สาม (ช่องที่สามของ ride คือ ridden ครับ) แล้วเติมคำว่า by แปลว่า โดยเข้าไปข้างหน้าผู้กระทำ คือ สมศักดิ์

สมบูรณ์แล้วนะครับ จริงๆ แล้ว รายละเอียดมีมากกว่านี้เยอะ วันหลังจะมาเขียนเพิ่มเติมนะครับ วันนี้เอาแค่นี้ก่อน

วันพุธที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2553

blogger สักกรินทร์ แสวงสุนทะริ


ได้ blogger แล้วครับ ดีใจหลาย